ลางสังหรณ์...บอกเหตุ
ผู้เข้าชมรวม
114
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ลางสังหรณ์
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือน สิงหาคม 2524 ของค่ำคืนวันศุกร์ ในวันหนึ่งขณะที่ผมเตรียมดูหนังสือสอบในเทอมแรก ที่บ้านเช่าที่ ได้จัดแบ่งห้องเช่า เป็นสองห้อง ห้องหนึ่งที่ติดกับบ้านเจ้าของให้เช่า ผมและเพื่อน พักร่วมกันหกคน เพิ่งจบระดับปริญญาตรี ไปแล้ว 3 คน คือ สมชาย ยุทธ และ วัฒน์ คงเหลือผมกับรุ่นน้องที่ต้องเรียนอีกปี จึงจะจบชั้นปริญญาตรี สมชาย สอบบรรจุเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยเกษตรกรรมแห่งหนึ่ง ภูมิลำเนาเดิมเขาเป็นคนเพชรบูรณ์ เขามีโครงการที่จะแต่งงานกับรุ่นน้อง ที่เรียนสถาบันเดียวกัน แฟน ของสมชาย ทำงานที่กรมส่งเสริมการเกษตร ที่จังหวัดแห่งหนึ่งของภาคตะวันออก แฟนของสมชายมักเทียวไปเทียวมาที่บ้านหลังนี้ บ้านที่ผมเช่า เป็นเพียงห้องโล่งๆ กว้างประมาณ 3 เมตรยาวประมาณ 5.5 เมตรไม่มีการกั้นแบ่งเป็นห้องย่อยๆ เราใช้พื้นที่โล่งเป็นที่นอน ห้องรับแขก และครัวไปในตัวเสร็จ ด้านหน้าเป็นชานบ้านยื่นออกมาพอประมาณ ผมใช้ตรงนี้เป็นที่นอนและอ่านหนังสือ ผมทำที่อ่านหนังสือแบบง่าย ๆ โดยใช้บานหน้าต่าง ที่ไม่ได้ใช้ มาทำบานพับเพื่อปรับเข้าออกตามที่เราต้องการ บริเวณหน้าบ้านที่ผมพัก ติดกับถนนสายพระโขนง หัวตะเข้ ตรงฟุตบาท ทางสำนักงานเขตลาดกระบัง ได้ปลูกต้นไม้ มีระยะห่าง พอสวยงาม ต้นไม้กำลังแผ่กิ่งก้านสวยงาม
คืนเกิดเหตุ..เป็นคืนเดือนแรม ไร้ซึ่งแสงจันทร์ส่องแสง เหมือนดังที่ผ่านมาที่ ค้างคาวแม่ไก่ กลุ่มใหญ่บินฉวัดเฉวียนไปมา เพราะที่หลังบ้าน มีต้นชมพู่อยู่หลายต้น ทางเจ้าของบ้าน ได้ใช้ข่ายวางกับดักให้มันมาติดตาข่าย ...และเช้าๆ พวกผมก็ขอค้างคาว จากเจ้าของบ้าน มาทำเป็นอาหาร ในขณะที่ผมนั่งอ่าน และทบทวนหนังสือก่อนสอบ ช่วงขณะพักสายตาได้มองไปรอบๆ บ้าน จู่ๆ นกแสกสองตัว ก็บินมาเกาะที่ต้นไม้ แล้วก็ส่งเสียงร้องดังมาก
“แคว๊กๆๆๆๆ” มันร้องอยู่ประมาณ สองสามนาที จนผมรำคาญ เพราะมันมาทำลายสมาธิการดูหนังสือของผม ผมจึงส่งเสียงไล่มัน
“ไป๊ ๆๆ”
มันก็บินผละจากต้นไม้ไป สิบนาที ต่อมานกแสก ตัวนั้น มันก็บินกลับมา ณ .ต้นไม้ต้นเดิม ทีแรก มันมากันสองตัว แต่ตอนหลัง มันเหลือเพียงแค่ตัวเดียว ทำเอาผมเอะใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมมองไปที่กิ่งไม้ซึ่งพอจะมองเห็นตัวมันได้ เนื่องจากแสงไฟ ที่เปิดอ่านหนังสือสว่างพอประมาณ ไม่ทันไร นกเจ้ากรรมตัวนั้นก็ ร่วงลงจากกิ่งไม้ ที่มันยืนอยู่ดัง ..”ตุบ”
ผม งงงวยกับความแปลกที่ได้เห็นกับตา ทั้งยังนึกในใจว่า นี่มันเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่างหรือเปล่านะ ผมเดินเข้าไปดูที่เกิดเหตุ เห็นนกแสกตัวนั้น นอนสลบ ตัวยังอุ่นๆ อยู่ ก็ปล่อยวางไว้อย่างนั้น คิดว่าสักครู่ เดี๋ยวมันคงบินไปได้เอง
แต่ตอนนั้น...ขนหัวลุกซู่ .. (เอ....เราไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย) ผมคิดในใจ สมาธิในการอ่านหนังสือเริ่มไม่นิ่งแล้ว
ต่อมา เมื่อรู้สึกง่วงนอน จึงกางมุ้งตรงชานบ้านที่ผมนั่งอ่านหนังสือตรงนั้น พร้อมเปิดวิทยุ เพื่อกล่อม จนในที่สุดก็หลับผลอยไป.. จนรุ่งเช้า.. ผมมองไปที่หน้าบ้าน เห็นนกแสกตัวนั้น มันตายไปแล้ว ... ในใจ ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่ค่อยจะเชื่อกับเรื่องราวเกี่ยวกับผีสางเทวดา หรือลางสังหรณ์ใดๆ .. จากนั้นผมก็ออกจากบ้านมากินข้าวที่ร้านเจ้าประจำข้างๆ โรงหนังลาดกระบังเธียร์เตอร์ ขณะที่รอแม่ค้าผัดข้าว..
"เจ๊อ๋อยขอข้าวผัดพริกจานนึง ขอใส่ตับหมู แทนหมูเนื้อแดงนะ"
ผมเอ่ยปากพลางเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ มาเปิดอ่านข่าว... ข่าวก็คงเป็นเหมือนเช่นทุกวัน คือ หนีไม่พ้น เกี่ยวกับกับเรื่องลัก วิ่ง ชิง ปล้น ฆ่าข่มขืนซ้ำซาก ซึ่งไม่มีข่าวอะไรที่ชวนติดตาม ก็เลยพับเก็บวางไว้ที่เดิม เมื่อข้าวถูกเสิร์ฟไว้ตรงหน้า ผมก็จัดแจงปรุงรส ตามที่ต้องการ หลังจากกินข้าวจนเกลี้ยงจาน ก็ไปหยิบแก้วพลาสติก รินน้ำเย็นตบท้าย วางเงินค่าข้าวตามราคาที่เคยกิน แล้วเดินมาที่หอประชุมสถาบันฯ น้องๆ บางคน ที่มีกิจธุระจะต้องมาสถาบันฯ บางคนได้มานั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ ที่โดมสระน้ำ ที่มีลมเย็น พัดตลอดเวลา มีรุ่นน้องคนหนึ่ง ได้เดินมาหาผม พร้อมยื่นหนังสือพิมพ์ให้ผมอ่าน โดยเขาได้ใช้ปากกา ขีดเส้น เน้นย้ำ กับข้อความที่ปรากฎเป็นข่าวในหน้า 15 คือ ข่าวสั้น..
จริงๆ แล้วหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ผมก็เพิ่งวางไป เมื่อครู่นี้นี่เอง..
“พี่ ในข่าวนี้ระบุว่า นายสมชาย อาจารย์หนุ่มจากวิทยาลัยเกษตรกรรมเพชรบูรณ์ ประสบอุบัติเหตุ ขับรถจิ๊บชนกับภูเขา มีผู้เสียชีวิต1 และบาดเจ็บสาหัส 1 คน” เขาถามผมเพิ่มเติมอีกว่า
“พี่สมชาย นามสกุล อะไร" รุ่นน้องถาม
"ลีกันชัยกุล"
“ใช่เลย พี่สมชาย เสียชีวิตแล้ว ข่าวก็ระบุนามสกุลอย่างนั้น" รุ่นน้องตอบ
ผมหยิบหนังสือพิมพ์ มาอ่านทวนอีกหลายครั้ง เชื่อว่าตาเราไม่ฝาดอย่างแน่นอน
"ใช่เสียด้วยสิ" ผมพูดกับคนเองเบาๆ
ข่าวนี้ ลือกันไป จากปากต่อปากจนรู้ไปทั่วสถาบัน
แฟนสมชายชื่อ อรุณศรี ศรี เรียนจบระดับ ปวส. และ เพิ่งสอบบรรจุเป๋นเจ้าหน้าที่ได้ ทั้งสองคนดูใจมาสองปี และหมายมั่นปั้นมือว่ายังไงๆ ก็ต้องเป็นคู่ผัวตัวเมียกันอย่างแน่นอน ทั้งสองคนได้หาฤกษ์หายามที่จะกำหนดวันวิวาห์ ในเดือนธันวาคมในปีนั้นแล้ว ...ศรี เพิ่งแวะมาหาผม เมื่อสามวันก่อน บอกจะไปพักผ่อนที่บางแสน กับเพื่อนๆ และจะกลับมาเอาหนังสือสมัยที่เคยเรียนไปใช้..ในการทำงาน เมื่อผมมั่นใจว่าสมชายสิ้นชีวิตแล้ว ผมก็ได้เล่าเรื่องและบอกน้าเจ้าของบ้านเช่า..ให้ทราบ .. หลังจากที่น้าเยาว์ ฟังคำบอกเล่า แกก็พูดขึ้นโดยทันที ว่า
“นี่..น้า ขนลุกไปหมด เลย เนี่ยะ... ไม่อยากเชื่อ ว่าเรื่องนี้ เป็นความจริงเลย น้าก็สังหรณ์ใจ ยังไง.. ชอบกล เมื่อวันก่อน. น้าก็ฝันถึงสมชาย ในฝัน นั้นมันเหมือนกับเป็นเรื่องจริง น้าเห็นสมชาย มาเรียกให้น้า เปิดประตูบ้านให้ จากรูปลักษณ์ที่น้าเห็น เขาซูบผอม…ไปกว่าเดิม ตัวซีด..ไม่มีสง่าราศรี สมชาย บอกกับน้าว่า น้าเยาว์ ขอน้ำให้ผมกินหน่อย ผมหิว.. …ผมขอเข้าไปในบ้านหน่อยนะครับ .สมชาย พยายามวิงวอน ร้องขอเพื่อที่จะเข้าบ้าน "
น้าเยาว์ยังเล่าต่อไปอีกว่า ในฝันน้ายังพูดกับสมชายอีกว่า
“ก็เข้ามาสิ..สมชาย สมชายก็เคยเข้ามาที่บ้านน้าบ่อยๆ นี่” เจ้าของบ้านเล่าให้ผมฟัง
“วันนี้..ผมไม่สามารถเข้ามาในบ้านน้าได้ มันมีคนกีดกันไม่ให้เข้าไป ครับ.. น้าๆ ผมร้อน ผมร้อน ผมหิวน้ำ ครับ” ... น้าเยาว์เล่าให้ฟังตามที่แกเห็นสมชายในฝัน...
และเหตุการณ์นี้ ก็ไปเกิดขึ้น กับแม่เพื่อนผมที่เป็นเพื่อนสนิทกับสมชาย เมื่อผมไปได้บอกข่าว ว่าสมชายเสียแล้ว.. แม่เพื่อนที่อยู่บริเวณ ปากทางข้าวัดคู้ ถึงกับอึ้งนิ่งไป ครู่ใหญ่.. น้ำตาไหลออกโดยไม่รู้ตัว เธอพึมพัมเบาๆ
“สมชาย ไม่น่าอายุสั้นเลย”
หลังจากตั้งสติได้ แม่เพื่อนก็พูดต่อว่า
“เมื่อคืน แม่ได้ยิน สมชาย .. มาตะโกน ขอเข้าบ้าน สมชายบอกหิวน้ำมาก แม่ก็บอกให้เปิดรั้วเข้ามาได้เลย แม่ได้ล๊อคประตู.."
สมชายได้แต่ยืนมอง จะเปิดประตูเข้ามา ก็ไม่เปิดเสียที ด้วยความสงสัยว่า ทำไม สมชายไม่เข้ามาในบ้านสักที แม่เลยเดินออกมา แต่.. เมื่อมาถึงประตู ก็ไม่เจอสมชาย...ไม่รู้เขาหายไปไหน แม่ก็เริ่มชักเอะใจว่า นี่มันเป็นลางสังหรณ์อะไรหรือเปล่า..
ผมได้ฟัง..จากปากที่น้าเยาว์ และแม่เพื่อนเล่าให้ฟัง มันช่างมาสอดคล้องอะไร กับเหตุการณ์เมื่อวาน ที่นกแสกมาร้องที่หน้าบ้าน และผมได้ไล่มันไป แต่มันได้กลับมาตายตรงหน้าบ้านที่ผมพัก คิดไปคิดมา นกแสกที่ตายมันคง เป็นสมชาย เพื่อนผมหรือเปล่า ก็ไม่รู้.. ผมกับสมชาย สนิทกันมาก เพราะพักด้วยกันนานกว่าสามปี เราร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกัน เมื่อมาเขามาด่วนจากไป ผมก็รู้สึกเสียใจ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่น่าสงสารและน่าเห็นใจอย่างมาก คือ ฝ่ายว่าที่เจ้าสาว คือ อรุณศรี ที่กำลังเตรียมการณ์ จัดงานวันวิวาห์...
วันถัดมา ญาติของสมชายได้ขับรถยนต์ แวะมาหาผมที่บ้าน เพื่อจะมาเอาสิ่งของที่เขาเคยฝากผมไว้ เขาเล่าให้ฟังว่า วันเกิดเหตุ สมชายเป็นคนขับรถจิ๊บ เพื่อจะมาเยี่ยมบิดาที่กรุงเทพ ที่กำลังป่วยหนัก ด้วยฝนตกหนักถนนลื่น รถเสียหลัก เลยชนกับภูเขาอย่างแรง จนมีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 1 คนทางฝ่ายว่าที่ เจ้าสาวที่ยังไม่รู้ข่าว การเสียชีวิต ของสมชาย ซึ่งได้เดินทางกลับจากบางแสน เขายังมีท่าทีแห่งความสุข กับการได้ดื่มด่ำกับกลิ่นไอ ชายหาด และน้ำทะเล ผมพยายามครุ่นคิด ที่จะบอกเล่าเรื่องราวนี้ ให้เธอฟัง แบบไม่ให้เธอช็อค เพราะทราบว่าเธอเป็นคนจิตอ่อน หลายครั้ง ที่เธอได้ฟังเรื่องตื่นเต้นที่เพื่อนๆ เล่าให้ฟัง เธอจะช็อค จนเป็นลมหมดสติ เสียทุกครั้ง เมื่อไม่มีทางเลี่ยงที่จะบอกเล่าความจริงให้อรุณศรีฟังแล้ว ผมจึงใช้ยุทธวิธี ที่ผมคิดว่า มันเป็นวิธีที่จะทำให้เธอ ช็อคน้อยที่สุด.. เพราะยังไง หากเธอรู้เรื่องสมชายเสียชีวิต จากปากคนอื่น ที่ไม่ได้เรียบเรียงคำพูดที่ดี อรุณศรีอาจซ็อคถึงขั้นอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตก็ได้
เวลาขณะนั้นประมาณห้าโมงเย็น....
อรุณศรี ได้แวะซื้อก๋วยเตี๋ยวผัดไทยมาฝากผมหนึ่งห่อ เธอรู้ว่าผมชอบ.. เมื่อแกะห่อใส่จานมาแล้ว เธอก็มาเสิร์ฟ ให้ผมกิน ผมไม่มีกะจิตกะใจ ที่จะกิน. จนเธอสงสัย
"เป็นอะไร เหรอพี่ วันนี้ พี่จึงดูไม่รื่นเริงเหมือนทุกๆ วัน"
ผมคิดในใจว่าวันนี้ ยังไงๆ ก็ต้องบอกเรื่องราว ให้อรุณศรี รู้เรื่องการตายของสมชาย ให้ได้ เพราะยังไงๆ ก็คงต้องมีคนมาบอก แต่ว่าเรา จะบอกตรงๆ หรืออ้อมๆ ดี คิดแล้ว ..ก็เลยรวมรวมความกล้าเอ่ยปากบอก
“ศรี พี่มีเรื่องจะบอก เรื่องเกี่ยวกับไอ้ชาย น่ะ”
“พี่ชาย เป็นอะไรเหรอ”
“ถ้าพี่เล่าเรื่องให้ฟัง ศรี ต้องใจแข็งและต้องทำใจนะ...”
“ได้ สิ” ศรีตอบ
“ตอนนี้ไอ้ชาย มันมีแฟนใหม่แล้ว" ผมตอบแบบอ้อมๆ
อรุณศรี ฟังอย่างสงบ น้ำตาเริ่มไหล แต่ไม่ถึงกับช็อค ..เธอ ได้แสดงออก และบ่นเปรยๆ
“คิดแล้วว่า พี่ ชายต้อง เป็นคนแบบนี้” เสียงสะอื้นๆ และรำพันของอรุณศรี ด้วยความผิดหวัง ตัวคนรัก
ผมกะว่า พอเธอปรับตัวกับสภาพอารมณืได้อีกสักนิด ก็จะบอกความจริงให้รู้.. ว่าสมชาย เสียชีวิต แล้ว เธอยังสะอื้นและร่ำไห้ ..แต่ก็ยังดีที่ไม่เป็นลม สลบหมดสติไปเช่นทุกครั้ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เพื่อนสนิทอรุณศรี ที่ชื่อนง ที่รู้ข่าวว่าอรุณศรี มาแวะที่บ้านที่ผมพัก ก็มาหา พอเจอหน้ากัน
“ไอ้ศรี พี่ชาย ตายแล้ว ..รู้มั้ย".. ผู้หวังดี บอกเพื่อน
ทางฝ่ายอรุณศรี กำลังสะอึกสะอื้น เกี่ยวกับผิดหวัง เรื่องความรัก มาก่อนหน้าที่ผมบอกเธอ เมื่อได้ยิน คำว่าเรื่อง ...ความตาย...ของคนรัก เธอก็เลยช็อค สลบไป เรื่องมันกลับตารปัตรไป.. ผมบอก เล่าไปอย่าง ไอ้คนที่มาใหม่ ก็เล่าไปอีกอย่าง.. คนที่กำลังปรับสภาพอารมณ์ มันรับกับสถานการณ์ใหม่ไม่ทัน .. ผมจึงต้องหาคนมาช่วยปฐมพยาบาลเป็นการ ใหญ่ พอฟื้นขึ้นมาได้.. ผมก็ถูก อรุณศรี ต่อว่าเป็นการใหญ่..ว่าทำไม ไม่บอกความจริงเรื่องนี้ ตั้งแต่ทีแรก..
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมกับเขา ก็เลยไม่พูดกันจนวันนี้
ณ วันนี้ ผมทราบว่า อรุณศรี ยังบวชชี และยังไม่สึก "
รักแท้... รักนิรันดร์... มีจริง...
5/4/58 19.34 น.
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น